-
ไม่มีสินค้าในตระกร้า!
Vivoactive 3 และ Spartan Trainer เป็นรุ่นที่ยอดนิยมทั้ง 2 รุ่น ที่ต้องหยิบยกมาเปรียบเทียบถึงคุณสมบัติและรายละเอียดการใช้งานให้ได้ชมกัน ทางทีมงาน Tsmactive ไม่รอช้าจึงคัดคุณสมบัติที่ได้ใช้งานกันมาเปรียบเทียบแบบหมัดต่อหมัด
![]() |
![]() |
ระบบเซนเซอร์วัดชีพจรทั้ง 2 รุ่น ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้กัน ทาง Spartan Trainer เลือกใช้เซนเซอร์จาก Valencell ที่เป็นมาตรฐานการวัดชีพชรระดับสากล ส่วน Vivoactive 3 นั่นพัฒนาเซนเซอร์ Elevate™ ในแบบฉบับ Garmin เมื่อนำทั้ง 2 รุ่นเปรียบเทียบกัน ค่าชีพจรมีความแม่นยำใกล้เคียงกันสูสีกันอย่างมาก
![]() |
![]() |
คุณสมบัติ GPS ต่างมีจุดเด่นแตกต่างกัน ด้าน Vivoactive 3 มีระบบ GPS/GLONASS ให้ความแม่นยำสูงในการติดตามความเร็ว, ระยะทาง และ Pace ส่วน Spartan Trainer มีเพียง GPS ซึ่งสามารถติดตามความเร็ว, ระยะทาง และ Pace ได้เช่นกัน เสารับสัญญาน GPS ถูกย้ายมาอยู่ด้านหน้าใต้หน้าปัดทำให้จับสัญญานได้รวดเร็วและแม่นยำ
![]() |
![]() |
การติดตามกิจกรรมประจำวันทางด้าน Vivoactive 3 เหนือกว่าอยู่พอสมควรในเรื่องข้อมูลเชิงลึกที่แสดงผลบนแอพ แต่ถ้าในเรื่องของการแสดงผลบนหน้าปัดทั้ง 2 รุ่นถือว่าสูสีกัน
![]() |
![]() |
การกันน้ำ 50 เมตร เป็นมาตรฐานสำหรับนาฬิการะดับนี้อยู่แล้ว Spartan Trainer ได้เปรียบในเรื่องมีโหมดการว่ายแบบ Open Water เพิ่มเข้ามา ส่วน Vivoactive 3 มีเพียง Pool Swim อย่างเดียว แต่สำหรับคนที่ชอบตีกอล์ฟต้องเลือก Vivoactive 3 ที่มาพร้อมโหมดเฉพาะทาง
![]() |
![]() |
Spartan Trainer ไม่สามารถสัมผัสหน้าจอได้ ควบคุมการใช้งานผ่านปุ่มกดทั้ง 5 ปุ่ม ในเรื่องใช้งานจริงๆในขณะออกกำลังกายปุ่มกดจะรวดเร็วกว่า แต่ Vivoactive 3 ควบคุมด้วยสัมผัสหน้าจอและปุ่มกดเพียงปุ่มเดียว
![]() |
![]() |
เรื่องการเปลี่ยนสายต้องยกให้กับ Vivoactive 3 ที่สามารถเปลี่ยนได้ง่ายๆเปลี่ยนปลดสลักออกในบริเวณด้านหลัง แตกต่างกับ Spartan Trainer ที่ต้องใช้เครื่องมือเปลี่ยนเฉพาะ แต่โดยรวมแล้วสายของ Spartan Trainer มีความแข็งแรงกว่า
![]() |
![]() |
การ Standby ของโหมดนาฬิกา Spartan Trainer มีอายุยาวกว่า Vivoactive 3 พอสมควร แต่ในโหมด GPS แบบสูงสุด Vivoactive 3 ใช้ได้นานกว่าประมาณ 3 ชั่วโมง
![]() |
![]() |
การปรับแต่งหน้าปัดต้องยกให้กับ Vivoactive 3 ที่เลือกโหลดใช้งานได้ผ่าน Connect IQ จากผู้พัฒนาต่างๆ ส่วน Spartan Trainer ลดขั้นตอนต่างๆให้เปลี่ยนหน้าปัดง่ายๆผ่านหน้าปัด
![]() |
![]() |
น่าเสียดายที่ Vivoactive 3 ไม่สามารถเปลี่ยนโหมดกีฬาในขณะออกกำลังกายเพื่อใช้กับไตรกีฬาได้ ทำให้จุดเด่นนี้ไปอยู่ที่ Spartan Trainer ที่สลับโหมดออกกำลังกายไปยังโหมดอื่นได้ง่ายๆเพียงกดปุ่มขวาบนค้างไว้ แต่ Vivoactive 3 ยังมีโหมดกีฬาให้เลือกใช้งานที่ครบ แต่ยังเป็นรองกว่า Spartan Trainer
![]() |
![]() |
เรื่องคุณสมบัติเพิ่มเติมของโหมดออกกำลังกาย Vivoactive 3 มีหลากหลายกว่า แต่ต้องบอกเลยว่า ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวนาฬิกาและตัว app ของ Spartan Trainer มีการอัพเดทและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ถึงจุดนึง ต้องมาดูกันว่ารุ่นไหนจะมีความสามารถที่ตรงใจผู้ใช้มากกว่ากัน
![]() |
![]() |
การแจ้งเตือนข้อความจากสมาร์ทโฟนบนนาฬิการองรับภาษาไทยเหมือนกัน ด้านแอพ Movescount app ยังเป็นรอง Garmin Connect App อยู่พอสมควร สำหรับแฟน Suunto ไม่ต้องน้อยใจ เพราะทางผู้พัฒนา Movescount app ยังคงอัพเดทคุณสมบัติใหม่ๆให้ได้ใช้งานเสมอ
![]() |
![]() |
เรื่องนี้ต้องยกให้ทั้งคู่เสมอกัน เพราะในตอนนี้อุปกรณ์ส่วนใหญ่ เช่น เซ็นเซอร์ foot pod , หรือ สายคาดหน้าอกวัดชีพจร ส่วนใหญ่แล้วรองรับ Bluetooth smart จะมีแต่ในแบรนด์ของ garmin เอง ที่ใช้สัญญาน ANT+ ซึ่งถือว่าเป็นข้อจำกัดที่จะนำไปเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ
ระยะเวลาการรับประกันของ Suunto ยาวนานถึง 2 ปี ในขณะที่ Garmin รับประกันเพียง 1 ปี อีกทั้ง ในส่วนของระยะเวลาเวลาดำเนินการ ต้องยกให้ทาง Suunto อีกเช่นเคย เพราะจากประสบการณ์ที่ลูกค้าทั้ง 2 แบรนด์สัมผัสมา ทาง Suunto ถือว่าเคลมสินค้าให้ลูกค้าได้รวดเร็วกว่าอีกด้วย
ด้วยรูปลักษณ์ Spartan Trainer ให้ความรู้สึกถึงความสปอร์ต และมีความแข็งแรงมากกว่า Vivoactive 3 โดยรวมแล้วคุณสมบัติพื้นฐานทั้ง 2 สองรุ่นนี้ยังคงสูสีและกินกันไม่ลง
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรุ่นนี้ ยังคงเป็นนาฬิกา Multi-sport ไตรกีฬา ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้ ใครก็ตามที่รักในการออกกำลังกายไม่ว่าจะ วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เล็งทั้งสองรุ่นนี้ไว้ ไม่ผิดหวังแน่นอน