Garmin Forerunner 955 ยกให้เป็นลูกพี่ใหญ่แห่งตระกูล Forerunner ที่นักกีฬา หรือผู้ที่จริงจังกับการวิ่งให้ความสนใจมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ Forerunner 935 จนถึงปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติที่เน้นไปทางสาย Performance มากกว่ารุ่นอื่นๆ โดยวันนี้ทีมงานทีเอสเอ็มได้มีข้อมูลลับๆมาบอกก่อนจะเจาะรีวิว ซึ่งทาง Garmin แทบจะไม่ได้บอกให้ผู้ใช้งานได้ทราบ จริงๆแล้วภายในของตระกูล Forerunner 9XX ทั้งหลาย มาจากตระกูล Garmin Fenix Series ที่จะวางจำหน่ายไปก่อน เช่น Fenix 7 ที่เปิดตัวไปก่อน แล้วจึงปล่อย Forerunner 955 มาภายหลัง โดยได้ปรับเปลี่ยนวัสดุภายนอกให้บางเบาลงเพื่อตอบโจทย์สายนักกีฬาที่ต้องการความคล่องตัวสูง แต่ยังคงอยากได้ประสิทธิภาพการฝึกซ้อมจากนาฬิกา
ช่องทางสั่งชื้อ Garmin Forerunner 955 (รับประกันศูนย์ไทย 1 ปี)
- Website : https://tsmactive.com/Forerunner-955
- Shopee : https://shope.ee/3pjYAFuzTM
- Lazada : ibit.ly/SSdL
1. มีให้เลือก 2 รุ่นเท่านั้น
มาคราวนี้ Forerunner 955 มีตัวเลือกให้ผู้ใช้งานเลือกถึง 2 รุ่นด้วยกัน สำหรับใครที่ลังเลว่าจะเลือกรุ่นไหนดี? บอกได้เลยว่าเลือกไม่ยาก มีแค่รุ่นปกติ และรุ่นโซล่าเท่านั้น ซี่งคุณสมบัตินั้นแตกต่างในด้านการชาร์จพลังงานจากแสงอาทิตย์ ในพื้นที่กลางแจ้ง
ข้อแตกต่างของหน้าจอ
- Forerunner 955 : หน้าจอ Corning Gorilla Glass DX (GPS mode สูงสุด 42 ชม.)
- Forerunner 955 Solar : หน้าจอรองรับการชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ (GPS mode สูงสุด 49 ชม.)
ควรเลือกรุ่นไหนดี ?
ถ้าต้องการความสุด และใช้งานในกิจกรรมกลางแจ้งบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขัน หรือมีไลฟ์สไตล์อยู่กลางแดดตลอด แนะนำให้เลือกเป็นรุ่นโซล่า แต่ถ้าจะเอาความคุ้มค่าประหยัดงบ และไม่ได้ซีเรียสแบตเตอรี่ รุ่นปกติที่ว่าตอบโจทย์ไม่แพ้กัน
2. สัมผัสหน้าจอ
เป็นครั้งแรกที่มีระบบสัมผัสหน้าจอ (Touch Screen) บนนาฬิกาวิ่งตระกูล Forerunner หลังจากทาง Garmin คงทนกระแสเรียกร้องไม่ไหว จึงปล่อยระบบสัมผัสหน้าจอมาให้ทั้ง Forerunner 955 Series และ Fenix 7 Series
หลังจากที่ได้ทดลองใช้งานระบบสัมผัสหน้าจอของ Forerunner 955 มาสักระยะ ถือว่าใช้งานได้ดีเยี่ยมในแง่การดูข้อมูลต่างๆในชีวิตประจำวัน มีความลื่นไหล ตอบสนองได้รวดเร็ว ไม่ต้องมาคอยกดปุ่มไล่หาข้อมูลอีกต่อไป แต่สำหรับการใช้งานจริงในขณะออกกำลังกาย อาจจะไม่เหมาะเท่าที่ควร เนื่องจากเหงื่อหรือการสัมผัสที่ไม่แม่นยำ อาจจะทำให้หงุดหงิดได้ แต่สามารถเข้าไปตั้งค่าเปิด/ปิด การใช้งานระบบ Touch Screen ได้
3. ระบบ GPS แม่นยำขึ้น
เพิ่มฟังก์ชั่น Multi-band ที่เริ่มมีมาในนาฬิกา Garmin รุ่นใหม่ๆ โดยเรียกกว่า GNSS (Global Navigation Satellite System) โดยสรุปง่ายๆ คือ ระบบ GPS ความถี่คู่ สามารถเชื่อมต่อสองความถี่กับดาวเทียมได้พร้อมกัน จึงช่วยลดโอกาสการจับสัญญาณ GPS ในพื้นมุมอับ อย่างเช่น ในป่า หรือในบริเวณที่มีตึกสูงโอบล้อม
ข้อดีของระบบ Multi-band ถือว่าเข้ามาช่วยในเรื่องความแม่นยำของระบบ GPS แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการกินพลังงานแบตเตอรี่ที่เยอะขึ้น ถ้าใช้งานในโหมดออกกำลังกายพร้อม Multi-band จะใช้แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับการใช้งานโหมด GPS ปกติ ดังนั้นควรเลือกใช้งานให้เหมาะกับสถานการณ์
4. Running Power
ต้องบอกไว้ก่อนสำหรับคุณสมบัติ Running Power จำเป็นต้องใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมของ Garmin อย่างเช่น HRM-PRO, RD-POD, HRM-TRI หรือ HRM-RUN เพื่อวัดค่า Power สำหรับการวิ่งเพื่อวิเคราะห์อย่างจริงจัง โดยได้ข้อมูลในเรื่องพลังงาน, ค่าเฉลี่ย และโซนพลังงาน
สำหรับใครที่กำลังฝึกซ้อมแล้วกำลังพบทางตัน การฝึกซ้อมพร้อมวัดค่า Running Power เป็นอีกแนวทางนึงที่ช่วยพัฒนาการฝึกซ้อม เพื่อเพิ่มกำลัง และเห็นประสิทธิภาพของร่างกายได้ชัดเจนขึ้น
5. เตรียมความพร้อมในการซ้อม
หรือเรียกกันว่า Training Readiness ที่มาเฉพาะใน Forerunner 955 (Forerunner 255 จะไม่มีคุณสมบัตินี้) โดยคุณสมบัตินี้จะช่วยบอกเราว่าควรฝึกซ้อมหรือไม่ ถ้าฝึกซ้อมควรเข้มข้นมากน้อยเพียงใด
ข้อมูลเหล่านี้จะถูกอ้างอิงมาจากคุณภาพการนอนหลับ, การฟื้นฟูหลังจากออกกำลังกาย หรือปริมาณการฝึกซ้อมที่ผ่านมา รวบรวมออกมาเป็นค่าความพร้อม เพื่อบ่งชี้ให้ตัวเรา ซ้อมหนัก หรือซ้อมแค่เบาๆ
6. ความอึดแบบเรียลไทม์
คุณสมบัติ Up Ahead เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะเข้ามาติดตามการออกแรงในการฝึกซ้อม หรือแข่งขัน ให้มีความอึด หรือพลังงานคงเหลือจนจบ สำหรับใครที่กลัวว่าแรงจะหมด หรือไม่กล้าใส่สุด คุณสมบัตินี้จะค่อยช่วยให้ทราบถึงการใช้งานพลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. แผนที่สีเต็มรูปแบบ
เป็นอีกคุณสมบัติที่เหนือกว่านาฬิกา Forerunner รุ่นอื่นๆ ที่สามารถแสดงแผนที่รอบๆเส้นทางให้ทราบ มากกว่าแค่เส้นทางปกติ ช่วยให้คาดการณ์ หรือประเมินสภาพแวดล้อมได้สะดวก ข้อดีมีอีกเพียบ อาทิเช่น การให้นาฬิกาช่วยหาเส้นทางออกกำลังกายในพื้นที่ที่เราไม่คุ้นเคย
8. โหมดกีฬา และกิจกรรมเพียบ
เรือนเดียวครอบจักรวาล หมดปัญหาว่านาฬิกาจะไม่มีโหมดให้ใช้งาน เพราะสามารถรองรับการใช้งานตั้งแต่ผู้เริ่มต้นด้วยโหมดกีฬาแทบจะทุกชนิด จนไปถึงโหมดติดตามการแข่งขัน เช่น ไตรกีฬา, อัลตรามาราธอน และการวิ่งระยะไกล
ตัวอย่างโหมดต่างๆ
Run, Map, Track Run, Treadmill, Bike, Bike Indoor, Pool Swim, Open Water Swim, Triathlon, Multisport (custom), Virtual Run, Indoor Track, Trail Run, Ultra Run, MTB, eMTB, Cyclocross, Gravel Bike, Bike Commute, Bike Tour, Road Bike, eBike, Hike, Climb, Golf, Swimrun, Ski, Snowboard, Backcountry Ski, XC Classic Ski, XC Skate Ski, Snowshoe, SUP, Kayak, Row, Row Indoor, Tennis, Pickleball, Padel, Walk, Yoga, Pilates, Breathwork, Strength, Climb Indoor, Bouldering, Cardio, HIIT, Floor Climb, Elliptical, Stair Stepper, Health Snapshot, Navigate, Track Me, Project Waypoint, Clocks, Other, Connect IQ Store
9. เชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม
ในยุคใหม่ๆ แบรนด์ Garmin ยังเลือกใช้ระบบการเชื่อมต่อ 2 รูปแบบเช่นเดิม ทั้ง ANT+ & Bluetooth Smart ที่ทำให้เราสามารถเลือกใช้อุปกรณ์เสริมได้หลากหลาย เช่น สายคาดหน้าอกวัดชีพจร, เซ็นเซอร์วัดความเร็ว/รอบขา หรือเทรนเนอร์จักรยาน สำหรับ Forerunner 955 เรียกได้ว่ารองรับอุปกรณ์ได้หลากหลายในเรือนเดียว
ตัวอย่างอุปกรณ์ที่รองรับ
eBike (ANT+), Extended Display (ANT+), External HR (ANT+ & Bluetooth Smart), Footpod (ANT+ & Bluetooth Smart), Headphones (Bluetooth), inReach (ANT+), Cycling Lights (ANT+), Muscle O2 (ANT+), Power (ANT+ & Bluetooth Smart), Cycling Radar (ANT+), RD Pod (ANT+), Shifting (ANT+), Shimano Di2 (Propriety ANT), Smart Trainer (ANT+), Speed/Cadence (ANT+ & Bluetooth Smart), Tempe (ANT+), VIRB (ANT+).
สรุป
สำหรับ Forerunner 955 หลายๆคนอาจจะมองเป็นนาฬิกานอกกระแส ด้วยราคาที่สูง และดีไซน์ที่ดูสปอร์ตเกินไป แต่ถ้ามองให้ลึกไปกว่านั้น นี้คือความคุ้มค่าที่มาพร้อม Performance แบบเพรียวๆ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง เกิดมาเพื่อรองรับสายกีฬาที่แท้จริง โดยแทบจะไม่ได้กั๊กฟังก์ชั่นอะไรเลย ถ้าเน้นใช้งานกันยาวๆและได้ฟังก์ชั่นที่คุ้ม บอกเลยว่าได้เรือนนี้ไม่เสียใจอย่างแน่นอน