ในเมื่อเพื่อนๆ ได้ลงทุนกับนาฬิกาออกกำลังกายสักเรือนไปแล้ว พร้อมด้วย จุดมุ่งหมายหลักๆ คือ การได้ลดน้ำหนัก คำถามคือ จะเอานาฬิกาออกกำลังกาย มาลดน้ำหนักยังไงให้ได้ผลที่สุดล่ะ? ทีเอสเอ็มขอชวนเพื่อนๆ ลองมาดูไอเดียดีๆ เหล่านี้ด้วยกันเลยครับ
เดินหรือวิ่ง ให้ได้อย่างน้อย 5,000 ก้าว ต่อวัน
การนับก้าว เป็นความสามารถพื้นฐานของนาฬิกา และสายรัดข้อมือออกกำลังกาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ตั้งค่ามาให้เราเดินครบ 10,000 ก้าวต่อวัน จึงจะทำลายเป้าหมายในแต่ละวัน
ทุกๆครั้งที่เราออกกำลังกาย รู้ไหมครับว่า ร่างกายของเราได้กระตุ้นฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยให้น้ำตาลในร่างกายอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม แต่ถ้าไม่มีการออกกำลังกายหรือไม่ได้เคลื่อนที่ในแต่ละวัน ส่งผลให้ฮอร์โมนอินซูลินทำงานได้ไม่ดีพอ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้
ถ้าเราสามารถขยับร่างกาย หรือ ก้าวเดินได้ 10,000 ก้าวต่อวัน ผลการวิจัยแสดงให้เห็นแล้วว่า ฮอร์โมนอินซูลินจะทำงานได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพื่อนๆหลายๆ คน ที่ยังไม่สามารถเดินได้ 10,000 ก้าวต่อวัน โดยเฉพาะคนที่ทำงานนั่งโต๊ะ หรือ พนักงานออฟฟิศ ไม่ต้องกังวลครับ การเดิน 5,000 ก้าวต่อวัน เป็นอย่างน้อย ก็จะเริ่มต้นพัฒนาฮอร์โมนอินซูลินให้ดีขึ้น และ มีผลต่อระดับคาร์โบไฮเดรตในร่างกายเช่นกัน
ออกกำลังกายแบบ Interval ดีที่สุด
ถ้านาฬิกาของเพื่อนๆมีโหมด Interval ถือว่าเป็นผลดีสำหรับการลดน้ำหนักมากๆครับ ไม่ใช่ว่าการออกกำลังกายแบบปกติ อาทิ วิ่งด้วยความเร็วคงที่ ติดต่อกัน 1 ชั่วโมงนั้นไม่ดี แต่การออกกำลังกายแบบ Interval เพียงแค่ 20 นาที อาจจะช่วยให้เราเผาผลาญแคลอรี่ได้ในปริมาณที่เท่ากัน โดยที่ใช้เวลาน้อยลงอย่างมาก เริ่มต้นด้วยการตั้งค่าง่ายๆ คือ ออกกำลังกายอย่างหนัก 30 วินาที ต่อด้วย เบา 1 นาที สลับกันอย่างต่อเนื่อง
การออกกำลังกายแบบ Interval ได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะเกิดปรากฏการณ์ EPOC (Excess post-exercise oxgen consumption) หมายถึง ระดับการเผาผลาญ หรือ Metabolism ของเรายังคงทำงานอยู่ แม้เราจะออกกำลังกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ผลลัพธ์คืออะไร? ถ้าเราวิ่งติดต่อกัน 1 ชั่วโมง เราจะเห็นว่าแคลอรี่นั้นถูกเผาผลาญเยอะกว่า การออกกำลังกายแบบ interval 20 นาที แต่ถ้าเรามองการเผาผลาญแคลอรี่ในภาพรวมในวันๆนึงแล้ว เราจะเห็นว่าการออกกำลังกายแบบ interval ช่วยให้ร่างกายใช้แคลอรี่ไปมากกว่าครับ
ควบคุมอาหาร
"แค่เปลี่ยนอาหาร น้ำหนักก็ลดแล้ว" คำพูดง่ายๆ แต่ทำยาก เพราะเราอาจจะไม่รู้เลยว่าวันๆ นึง หรือ วันที่ผ่านๆมา เรารับประทานอะไรไปบ้าง แต่เมื่อเรามีนาฬิากาออกกำลังกาย พร้อมกับ Application ที่มาด้วยกันนั้น เราสามารถบันทึกอาหารและแคลอรี่ในแต่ละมื้อได้ ทำให้เรามองเห็นภาพรวม ทั้งการออกกำลังกายในแต่ละวัน เปรียบเทียบกับ การรับประทานอาหารในแต่ละวัน เมื่อนำมาดูสถิติแล้ว ถ้าเรารับประทานอาหาร และได้รับแคลอรี่เข้ามามากเกินไป เราก็ต้องปรับตัว หรือ เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เพื่อควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวันนั่นเอง
ชั่งน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง
การชั่งน้ำหนักอาจจะไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเรานั้นอ้วนเกินไปหรือผอมเกินไป ถึงแม้ว่าจะบอกค่า BMI แล้วก็ตาม เพราะน้ำหนักในร่างกายของเรานั้น ประกอบด้วยหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็น น้ำ, กล้ามเนื้อ และ ไขมัน
สิ่งที่เราควรดูมากที่สุดคือ ค่าเปอร์เซ็นไขมัน (Body fat) ซึ่ง เครื่องชั่งอิจฉริยะ ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีความสามารถนี้แล้ว จากประสบการณ์ของทีเอสเอ็ม ต้องบอกเลยว่า การวัด Body fat จากเครื่องชั่งอิจฉริยะเหล่านี้ ก็ไม่ได้มีความแม่นยำ 100% แต่ยังไงก็ตาม ถ้าเรายึดถือค่านี้ไว้ ถึงแม้จะไม่ได้แม่น 100% อย่างน้อย เราก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองไม่มากก็น้อย ทีเอสเอ็มขอแนะนำให้ชั่งน้ำหนัก ประมาณ 1 ครั้ง ต่อ อาทิตย์ก็เพียงพอที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงแล้วครับ
นอนหลับให้ดี
อีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่นาฬิกาหรือสายรัดข้อมือออกกำลังกายมีมาด้วยนั้นคือ การวัดประสิทธิภาพการนอนหลับ เพราะถ้าเรานอนหลับไม่เต็มที่ติดต่อกัน อาทิ นอนหลับได้คืนละ 5 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นอาทิตย์ จะส่งผลต่อฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้การลดน้ำหนักยิ่งยากเข้าไปอีก
ออกกำลังกายให้ชาญฉลาด
สุดท้ายและสำคัญสุด คือ การออกกำลังกายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือ ใช้เวลาออกกำลังกายให้น้อย แต่ให้ได้ผลลัพธ์สูงที่สุด
สิ่งที่ควรทำ ถ้าเพื่อนๆต้องการออกกำลังกายให้ดีกว่าเดิมคือ
- มีเป้าหมายชัดเจนเจาะจง
- วัดผลและบันทึกผลได้
- อยู่ในความเป็นจริง และเป็นไปได้
- กำหนดช่วงระยะเวลาให้ดี
- สนุกไปกับการออกกำลังกาย
ทีเอสเอ็มขอให้เพื่อนๆ ประสบผลสำเร็จในการลดน้ำหนัก หรือถ้ายังหาตัวช่วยในการลดน้ำหนักไม่ได้ ลองดู นาฬิกาออกกำลังกาย นาฬิกาวิ่ง เครื่องชั่งน้ำหนักอิจฉริยะ และติดตามเรา สำหรับบทความดีๆ ต่อไปครับ